ฟันธง 5 ทำเลน่าจับตาปี 58

ฟันธง 5 ทำเลน่าจับตาปี 58

มักเป็นคำถามที่ผุดขึ้นมาทุกครั้งสำหรับคนที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยไม่ว่าจะเป็นการซื้อเพื่ออยู่เองหรือว่าลงทุน ทำเลที่ดีคือคำตอบที่ลงตัวสำหรับการตัดสินใจเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์ในแต่ละครั้ง แต่ทำเลดีในแต่ละปีอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปตามระดับการพัฒนาของเมือง รวมไปถึงระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ DDproperty.com เปิดโผ 5 ทำเลเด็ดน่าจับตาในปี 2558 ดังนี้
 
1. แนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง
เมื่อการก่อสร้างโครงการดังกล่าวใกล้ถึงกำหนดแล้วเสร็จเข้ามาทุกที โดยมีกำหนดทดลองวิ่งเพื่อทดสอบระบบในช่วงปลายปี 2558 ก่อนที่จะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในช่วงกลางปี 2559 ทำให้ที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ในทำเลที่เกาะแนวรถไฟฟ้าสายนี้มีความคึกคักเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ในส่วนของที่ดินโดยเฉพาะในเขตจังหวัดนนทบุรีอย่างถนนรัตนาธิเบศร์ ที่ดินแนวรถไฟฟ้ามีราคาพุ่งสูงขึ้นจากตารางวาละ 20,000 บาทในช่วงปี 2548 มาอยู่ที่ตารางวาละ 140,000 บาทในปัจจุบัน ศักยภาพของทำเลในย่านนี้ นอกจากจะเป็นที่ตั้งของศูนย์ราชการที่สำคัญแล้ว ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับการใช้ชีวิตทั้งศูนย์การค้าขนาดใหญ่ โรงพยาบาล ร้านสะดวกซื้อ อาคารสำนักงานและบริการต่างๆ ในขณะที่ทำเลที่เป็นปลายทางของรถไฟฟ้าทั้งสองฝั่งอย่างบางใหญ่และบางซื่อนั้นก็ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มรูปแบบ พลิกโฉมหน้าจากย่านชุมชนที่เงียบสงบสู่ความคึกคักของสังคมเมืองใหม่ ส่วนมูลค่าของอสังหาฯ ในพื้นที่นั้นก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นอย่างแน่นอนเมื่อรถไฟฟ้าเปิดให้บริการอย่างจริงจัง
 
2. สุขุมวิท
แม้จะเป็นทำเลที่ได้รับความนิยมมาต่อเนื่อง แต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาความคึกคักของย่านศูนย์กลางธุรกิจที่สำคัญของกรุงเทพฯ แห่งนี้อาจจะดร็อปลงไปเล็กน้อย เนื่องจากที่ดินสำหรับการพัฒนาโครงการใหม่ๆ นั้นเริ่มหายากหรือหากมีก็มีราคาที่สูงมาก จนทำให้ผู้ประกอบการต้องหันมาพัฒนาโครงการที่มีราคาสูง และนั่นจึงทำให้โซนสุขุมวิทตั้งแต่ช่วงสุขุมวิทซอย 1 ไปจนถึงย่านทองหล่อ (ซอยสุขุมวิท 55) เป็นแหล่งรวมของโครงการที่อยู่อาศัยระดับบน ราคาเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมในย่านนี้จากการเปิดเผยของซีบีอาร์อี (ประเทศไทย)ล่าสุด พบว่าปรับขึ้นจากประมาณ 84,000 บาท/ ตร.ม. เมื่อปี 2547 มาเป็น 180,000 บาท/ ตร.ม.ในปัจจุบัน และเป็นที่คาดการณ์ว่าในปี 2558 นี้ สินค้าประเภทคอนโดฯ หรูจะกลับมาบูมอีกครั้ง ส่วนหนึ่งเนื่องจากคอนโดฯ กลุ่มราคาล้านต้นๆ มีปัญหาในเรื่องการอนุมัติสินเชื่อ ทำให้ผู้ประกอบการที่มีที่ดินในเมืองอยู่แล้ว หันมาเปิดตัวโครงการกลุ่มหรูนี้ก่อน และด้วยซัพพลายใหม่ที่มีอยู่ค่อนข้างน้อย โครงการคอนโดฯหรูที่เปิดใหม่ในปีนี้ แม้ราคาต่อตารางเมตรจะเปิดตัวในระดับที่สูงถึง 250,000-300,000 บาทต่อตารางเมตรก็ยังสามารถขายได้อย่างไม่น่าแปลกใจ
 
3. แยกบางนา และส่วนต่อขยายจากสถานี BTS แบริ่ง
สำหรับแยกบางนาที่ในอดีตคนมองว่าไม่น่ามีอะไรนอกจากเป็นแยกขนาดใหญ่และเป็นจุดขึ้นรถไปยังภาคตะวันออกแล้ว เมื่อมีรถไฟฟ้าตัดผ่าน และมีการลงทุนพัฒนาเพิ่มเติมจากภาคเอกชนทั้งกลุ่มภิรัชบุรีที่จะขยายศูนย์การประชุมนานาชาติไบเทคและสร้างอาคารสำนักงานระดับพรีเมี่ยมแห่งใหม่เพิ่ม ในขณะที่เดอะมอลล์กรุ๊ปก็เทเม็ดเงินลงทุนมหาศาลเพื่อพัฒนา “แบงค็อก มอลล์” ให้เป็นแหล่งช้อบปิ้งและศูนย์ความบันเทิงครบวงจร ย่านดังกล่าวก็มีการเปลี่ยนแปลงในแบบที่เรียกว่าพลิกโฉมเลยให้เป็นซีบีดีใหม่ของโซนสุขุมวิทตอนปลายเลยทีเดียว ราคาที่ดินปัจจุบันจากการสำรวจของเซ็นจูรี่ 21 พบว่าทำเลที่อยู่ติดถนนและใกล้รถไฟฟ้าในย่านนี้อยู่ที่ 180,000 – 250,000 บาท/ ตร.ว. ส่วนที่ดินในซอยมีราคาซื้อขายกันอยู่ประมาณ 70,000 – 120,000 บาท/ ตร.ว. ราคาดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอนเมื่อการก่อสร้างโครงการต่างๆ ที่กล่าวมาเริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ในขณะที่ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าจากสถานีแบริ่งที่ปัจจุบันเป็นสถานปลายทางของสายสีเขียวนั้น ปัจจุบันราคาที่ดินในทำเลที่ห่างออกมาจากสถานีรถไฟฟ้ายังอยู่ในระดับที่จับต้องได้และสามารถพัฒนาเป็นโครงการบ้านจัดสรรได้ราคาไม่เกิน 4 ล้านบาท ซึ่งเป็นช่วงราคาที่คนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ยังพอซื้อได้
 
4. รัชดา-พระราม 9
ย่านที่ถูกพูดถึงบ่อยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะบริเวณจากสี่แยกพระราม 9 มาจนถึงแยกศูนย์วัฒนธรรมที่มีศักยภาพในการเติบโตมากเพราะเป็นทั้งจุดต่อเชื่อมต่อสำหรับการเดินทางทั้งเข้าสู่ย่านใจกลางธุรกิจอย่างอโศก สุขุมวิท สาทร สีลม ใกล้ทางด่วนเชื่อมต่อไปมอเตอร์เวย์และสนามบินสุวรรณภูมิ นอกจากนี้ บริเวณดังกล่าวยังเป็นที่ตั้งของอาคารสำนักงานใหม่ๆ สิ่งอำนวยความสะดวกที่ได้รับการพัฒนา รวมทั้งโปรเจคยักษ์ใหญ่อย่าง “เดอะ ซุปเปอร์ ทาวเวอร์” ของกลุ่มจีแลนด์ที่จะกลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของเมืองเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จในอีก 4 ปีข้างหน้า ปัจจัยดังกล่าวทำให้ราคาที่ดินในย่านนี้น่าจะมีการปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉลี่ยอย่างน้อย 10-15% ต่อปี จากการคาดการณ์ของซีบีอาร์อี (ประเทศไทย)
 
5. ชะอำ-หัวหิน
เป็นทำเลนอกเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑลที่ถูกมองว่าจะมีความคึกคักมากที่สุดแห่งหนึ่ง ในขณะที่ทำเลอื่นๆ ไม่น่าจะหวือหวามากนัก แม้ทำเลที่เคยเป็นความคาดหวังของผู้ประกอบการจากกรุงเทพฯ อย่างขอนแก่นและอุดรธานี ในปีนี้ก็ถูกมองว่าจะลดความคึกคักลงเนื่องจากกำลังซื้อในพื้นที่ยังไม่แรงอย่างที่คาด
นายสุรเชษฐ กองชีพ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าคอนโดฯ ต่างจังหวัดที่ขายได้ในช่วงก่อนหน้านี้เพราะคนซื้อคาดหวังผลตอบแทนจากการเก็งกำไร โดยคนซื้อบางส่วนเป็นคนกรุงเทพฯ แต่เมื่อเวลาผ่านไปการลงทุนไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ ผู้ซื้อบางคนเริ่มทิ้งดาวน์ บางส่วนกู้ธนาคารไม่ผ่าน เมื่อการตอบรับจากผู้ซื้อไม่ดี ฝั่งผู้ประกอบการบางรายก็ยกเลิกโครงการไปเลย
“ในส่วนของตลาดเมืองท่องเที่ยวอย่างชะอำ-หัวหินนั้น แม้ในช่วงที่ผ่านมาทำเลต่างจังหวัดอื่นๆ จะชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด แต่ ตลาดชะอำ-หัวหินก็ยังขายได้ แม้สัดส่วนจะลดลง แต่ก็ไม่มีผลกระทบมากนัก เพราะปริมาณสินค้าไม่เยอะมากเท่าตลาดพัทยา ที่สำคัญสองตลาดนี้ผู้ซื้อหลักเป็นคนไทย ต่างกับตลาดพัทยาที่พึ่งกำลังซื้อจากต่างชาติเป็นหลัก ดังนั้น ความสนใจน่าจะกลับมาโฟกัสที่ตลาดในฝั่งนี้
 
Credit : DDProperty.com

1/6/2016 10:04:56 AM